“ไว้อาลัยให้กับคนที่เรารัก... ทั้งๆที่เขายังมี ชีวิตอยู่” ตอนที่ 2
- P'Sandy - Arise BKK
- Jan 22, 2020
- 1 min read
Updated: Feb 13, 2020
ในตอนที่แล้ว เราได้พูดถึงการ “ไว้อาลัย” ให้กับสองสิ่ง หนึ่ง คือ คนที่มีพฤติกรรมเสพติดทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถ้าให้ชัดเจนคือ ศักยภาพของเขาที่ยังไม่ได้ถูกดึงเอามาใช้ และ สอง คือ ไว้อาลัย ให้กับส่วนหนึ่งของชีวิตตัวเอง หรือถ้าให้ชัดเจนก็คืออนาคตที่ตนเองฝันไว้ ชีวิตที่คุณเคยคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะวาดฝันต่าง ๆ
สามารถอ่านตอนที่ 1ได้ที่ “ไว้อาลัยให้กับคนที่เรารัก... ทั้งๆที่เขายังมี ชีวิตอยู่” ตอนที่ 1

ในบทความนี้จะขอแนะนำวิธีในการบริหาร “ความคาดหวัง” เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงของสถานการณ์ในปัจจุบัน
เปลี่ยนมุมมองของสิ่งที่เกิดขึ้น (Reframing)
ขั้นแรกอยากให้ลองพิจารณาธรรมชาติของปัญหาที่เกิดขึ้น เราจะพบความจริงอยู่สองอย่าง คือ 1.) ยอมรับความจริงของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ เช่น การยอมรับปัญหาการเสพติดที่มันเกิดขึ้นมาแล้วซึ่งเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ และ 2.) ยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง นั่นหมายความว่าคุณไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเส้นทางทางเดินของคนที่คุณรักได้ แต่สิ่งสําคัญที่คุณทําได้ในขณะนี้ คือ คุณสามารถสนับสนุนคนที่คุณรักในด้านต่าง ๆ เช่น ..
- สนับสนุนเขา.. เมื่อเขาพยายามหาวิธีการบําบัด รักษา ฟื้นฟู
- สนับสนุนเขา.. ในความพยายามต่าง ๆ ที่จะหยุดใช้สารเสพติดและ แอลกอฮอลล์ (staying clean and sober)
- สนับสนุนเขา.. ในการทํางาน และทํากิจกรรมต่าง ๆ เพื่อหลีกหนี จากการกลับไปทำซ้ำ (relapse prevention)
การสนับสนุนเหล่านี้มีค่ามาก ๆ แม้ว่าคนที่คุณรักจะหยุดใช้สิ่งเสพติดเพียงระยะเวลาสั้น ๆ 1 – 2 วัน คุณสามารถสนับสนุนเขาได้ด้วยการสังเกต สิ่งที่เขาพยายามทําหรือถามเขาว่าในช่วงนั้น ในระดับ 1-10 (10 คืออยากมาก) ความอยากในแต่ละวันอยู่ในระดับใด เขาได้พยายามทําอะไรบ้าง ในการหลีกเลี่ยงต่อสิ่งเร้า หรือแรงกระตุ้น เขาได้พยายามจัดการกับความเสี้ยน/อยากใช้สารหรือเหล้าอย่างไรบ้างแล้ว
การปรับโดยการใช้คำพูดใหม่
คุณสามารถเริ่มต้นจากการปรับการใช้คำพูดใหม่แทนที่จะใช้วิธีการพูด เกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ชักจูง (รวมทั้งพูดจู้จี้ วิงวอน หรือขอร้อง) ให้ลองเปลี่ยนเป็นการพูดที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกส่วนตัวของคุณเท่านั้น เป็นความรู้สึกของตนเอง บอกให้เขารู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร เช่น “แม่รู้สึกไม่พอใจ รู้สึกเสียใจ รู้สึกไม่สบายใจ กับพฤติกรรมเสพติดของลูก”
การพูดเช่นนี้เป็นการพูดที่จะทําให้เขารับรู้ว่า “เรารักเขานะแต่เราก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย” จะเห็นได้ว่าการพูดลักษณะนี้จะส่งผลให้คุณแยก “พฤติกรรม” ออกจาก “ตัวบุคคลที่เรารัก” ได้ พูดอีกอย่างคือ ต้องการสื่อให้รู้ว่า “เรารักคุณที่ตัวคุณนะ ตัวคุณไม่ใช่คนไม่ดีแต่พฤติกรรมการใช้สารเหล่านี้กําลังส่งผลทําให้ฉันรู้สึกไม่ดี” การเปลี่ยนวิธีพูดแบบนี้เปรียบเสมือนการให้โอกาสให้ผู้ที่มีพฤติกรรมเสพติดได้คิดทบทวนในสิ่งที่กำลังทำอยู่ว่ามันดีหรือไม่อย่างไร เพราะการพูดว่า "เสพไปทำไม เสพไปก็ทำลายชีวิตตัวเองเปล่า ๆ คิดถึงอนาคตตัวเองไม่เป็นหรือ เอาอนาคตตัวเองไปทิ้งทำไม" เพราะหากพวกเขาสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้พวกเขาก็คงไม่ต้องพึ่งสารเสพติดเพื่อหนีความเป็นจริงไปหาความสุขปลอม ๆ (Fake happiness) อาจต้องแนะนำการรับคำปรึกษาเชิงจิตวิทยา เพื่อค้นหาสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยการพูดคุยในสภาพแวดล้อมและจังหวะที่เขารู้สึกปลอดภัย และไม่่ตัดสิน หรือตั้งความคาดหวังที่ไม่สมจริง
เปลี่ยนจุดโฟกัสในชีวิต
เมื่อคุณทําความเข้าใจยอมรับกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ขอแนะนําให้คุณเปลี่ยนจุดโฟกัสในชีวิตของคุณมาเป็น การใส่ใจดูแลตนเอง การทําเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าเราจะปฏิเสธปัญหา ไม่สนใจคนที่คุณรัก แต่มันจะหมายถึงการกลับมา “ใส่ใจความสุข และความต้องการของคุณเองก่อนใส่ใจคนอื่นๆ” ทุกครั้งที่เราขึ้นเครื่องบินเราจะได้ยินพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินแจ้งกฎการสวมหน้ากากออกซิเจน : “หากห้องโดยสารสูญเสียแรงดันหน้ากากออกซิเจนจะหล่นจากบริเวณเหนือศีรษะ โปรดวางหน้ากากไว้เหนือปากและจมูกของคุณก่อนช่วยเหลือผู้อื่น”
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้อาจขัดกับความรู้สึกหวังดีของคุณ แต่ประโยชน์ของการทําแบบนี้มีหลายข้อ ประการแรกคือคุณสามารถทําให้คนที่คุณรักเห็นได้ว่าชีวิตที่ปกติดีนั้นเป็นอย่างไร เมื่อเราใช้ชีวิตตามปกติของเรา ทํากิจกรรมต่าง ๆ ที่คุณสนุก มีความสุขกับมัน ก็จะเป็นการทําตัวให้เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจ ให้กับคนที่ยังมีพฤติกรรมเสพติดอยู่ว่าเขาก็สามารถมีชีวิตแบบนี้ได้เช่นกัน ประการที่สองคือจะลดความรู้สึกผิดในฝ่ายของคนที่มีพฤติกรรมลง เพราะเขาเห็นแล้วว่าเรายังใช้ชีวิตได้ตามปกติสุขอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะเราได้แยกแยะ “ตัวเขา พฤติกรรมเขา” ออกจาก “ตัวเรา ความรักและความรู้สึกที่มีต่อเขา” ได้ชัดเจนแล้วนั่นเอง ลองจินตนาการถึง “ประภาคาร” ที่คอยส่องนําทางเรือ หน้าที่ของประภาคารคือ..ให้แสงเป็นสัญญาณ เพื่อส่องทางให้เรือเข้าเทียบท่าเรือได้อย่างปลอดภัยประภาคารฝังรากอยู่บนฝั่ง ประภาคารจะไม่สามารถถอนรากลงไปในนํ้าเพื่อฉุดลากเรือเข้ามา แล้วจะไม่ขู่เข็ญเขาว่า “เจ้าเด็กโง่….ถ้ายังอยู่บนเส้นทางนี้นะ เรือจะชนโขดหินแล้วแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนจมนํ้า” ประภาคารเข้าใจดีว่า “เรือมีความรับผิดชอบต่อโชคชะตาของตัวเอง” เรือสามารถเลือกที่จะให้ไฟจากประภาคารนำทาง แต่ในทางกลับกัน หากประภาคารให้สัญญาณอย่างดีที่สุด สว่างที่สุด แต่เรือ ไม่ทําตาม ประภาคารก็ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการตัดสินใจนั้นของเรือ ในทำนองเดียวกันคุณสามารถบอกคนที่คุณรักว่า "แม่รักลูก แม่ช่วยมาหลายครั้งแล้วตอนนี้ลูกจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเลือก ถ้าเมื่อไหร่จะตัดสินใจที่จะเลิก แม่จะอยู่ที่นี่เสมอเมื่อลูกเลือกที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเอง
สุดท้ายนี้อยากแนะนําครอบครัวที่มีคนมีพฤติกรรมเสพติดในชีวิตว่า อย่าทําตัวสันโดษ เพราะเพียงแค่กลัวว่าจะโดนสังคมประณามหรือทำให้อับอาย ทางที่ดีควรหาคนอื่นที่เข้าใจสถานการณ์เหล่านั้น และพร้อมรับฟังเรื่องราวปัญหาต่าง ๆ การเข้าหาสังคม การใช้ชีวิตกับผู้อื่น และการเปิดใจคุยกับเพื่อนหรือคนอื่น ๆ ที่เราไว้ใจ จะเป็นการดูแลสภาพจิตใจ และรักษาวิถีชีวิตของเราให้เป็นปกติที่สุด
เขียน: พี่แซนดี้
วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2563
Comments